ตรวจสอบทบทวน
(Self-Test)
1. ทฤษฎีหลักสูตรและทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ทฤษฎีหลักสูตร รากฐานของหลักสูตร คือ ทฤษฎีหลักสูตร และแนวคิดด้านพฤติกรรมในการจัดทำหลักสูตรมีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาการเรียนรู้
ตอบ ทฤษฎีหลักสูตร รากฐานของหลักสูตร คือ ทฤษฎีหลักสูตร และแนวคิดด้านพฤติกรรมในการจัดทำหลักสูตรมีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาการเรียนรู้
มุมมองทางทฤษฎี
1. ความท้าทายในการสร้างหลักสูตร คือ การมุ่งเน้นที่วิสัยทัศน์ในอนาคต
ความชำนาญและการเริ่มต้นกระทำที่มั่นใจว่าความสำเร็จของวิสัยทัศน์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก
2. หลักสูตรเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนภายในที่ส่งผลต่อพลวัตรทางสังคมและการเมือง
3.
นักพัฒนาหลักสูตรตระหนักดีว่าการสร้างทฤษฎีเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับความคิด เพราะเหตุใดจึงเกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์เหล่านั้นจึงเกิดขึ้น
โบแชมป์
กล่าวว่าทฤษฎีมีพื้นฐานมาจากความรู้ 3 สาขา: (1) มนุษยศาสตร์ (2) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ (3) สังคมศาสตร์
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดขอบเขตของความรู้พื้นฐาน
ทฤษฎีหลักสูตรมี 2 ประเภท คือ ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตรและทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร
1. ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตรเป็นพื้นฐานขององค์ประกอบของหลักสูตร
2. ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร อธิบาย ทำนาย
หรือแม้กระทั่งแนะนำกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรมีความเกี่ยวข้องกับแผนเฉพาะ
หลักการและ / หรือวิธีการ หรือขั้นตอน
นอกจากนี้ทฤษฎีทางวิศวกรรมหลักสูตรยังมีพื้นฐานมาจากหลักการวัดและสถิติ
ความหมายของทฤษฎี
Abraham Kaplan ได้ให้ความหมายว่า “ทฤษฎีเป็นหนทางที่ทำให้รู้สึกถึงสถานการณ์ที่รบกวน
อย่างเช่น การไม่ทำตามกระแส ยิ่งกว่านั้น เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ฃหรือเลิกพฤติกรรม หรือ การกระทำเดิม
ด้วยการแทนที่สิ่งใหม่ในขณะที่สถานการณ์เรียกร้อง”
ความท้าทายของนักทำหลักสูตร คือ
การกำหนดเพียงลักษณะของวงการหลักสูตรที่เรากำลังประมวลผล สมมติฐานของเราคือ
วงการหลักสูตรจะต้องเกี่ยวข้องกับนักทำหลักสูตร
ในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบหลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตร
นักทำหลักสูตรส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะตกลงใน 2 จุดนี้
1. นักทำหลักสูตรเห็นด้วยว่า
หลักสูตรเป็นความสำคัญขั้นพื้นฐานต่อครูและนักเรียน
ต่อธรรมชาติของการสอนและการเรียน
2. การพัฒนาหลักสูตรมีอิทธิพลอย่างมากจากค่านิยมที่นำมาใช้ในกระบวนการคำว่า“ทฤษฎี” บางครั้งหมายถึง
ชุดของข้อเสนอที่มีอิทธิพลที่ได้รับมาจากผลการวิเคราะห์
ลักษณะทั่วไปเหล่านี้หมายถึงความจริง กฎหมาย
และสมมติฐานหลายประการที่เกี่ยวข้องกันในทางกฎเกณฑ์
และที่ก่อตั้งรูปแบบเอกลักษณ์ทั้งหมด ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย
ความจริงทั่วไป กฎหมาย หรือสมมติฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ
ชุดของข้อสันนิษฐานจากสิ่งที่ได้รับมาจากขั้นตอนของตรรกะทางคณิตศาสตร์
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่าของกฎหมายเชิงประจักษ์ ทฤษฎีให้คำอธิบายแก่กฎหมายเชิงประจักษ์และทำให้เนื้อหาวิชาเป็นหนึ่งเดียวกัน
สาระความรู้ที่เป็นมานุษยวิทยา
1. ทฤษฎีดังกล่าวสร้างชุดของสมมติฐานหรือความเชื่อที่อธิบายสิ่งที่ควรจะเป็น
2. นักปรัชญาอธิบายสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจาก
มุมมองของความเป็นจริงและบทบาทในตัวของมันเอง
3. ทฤษฎีหลายทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการศึกษาและหลักสูตรเฉพาะ ซึ่งมาจากปรัชญาและ
/ หรือแนวคิดทางมนุษยศาสตร์
หน้าที่ของทฤษฎี
1. จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์คือการเข้าใจปรากฏการณ์ในการศึกษา
นักปรัชญายังหาคำตอบสำหรับคำถามของพวกเขาความรู้คืออะไร ความจริงคืออะไร
และอะไรคือคุณค่า
2. ทฤษฎีมาจากคำในภาษากรีกว่า theoria connoting แปลว่า "การตื่นตัวของจิตใจ" มันเป็นชนิดของ "มุมมองที่บริสุทธิ์" ของความจริง ทฤษฎีอธิบายความเป็นจริง
ทำให้ผู้คนตระหนักถึงโลกของพวกเขาและการมีปฏิสัมพันธ์
ผู้เขียนหลายท่านได้ลงความเห็นเกี่ยวกับทฤษฎีไว้ 4 หลัก คือ
1.
การพรรณนา
2.
การทำนาย
3.
การบรรยาย
4.
การแนะนำ
ทฤษฎีของเมเซีย
นักหลักสูตรสร้างทฤษฎีเป็นทฤษฎีหลักสูตรแบบธรรมดา
แม้แต่ทฤษฎีที่เน้นคุณค่า และทฤษฎีการศึกษาวิธีการปฏิบัติทางหลักสูตร
1. ทฤษฎีหลักสูตรแบบธรรมดา
ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับคาดเดาเกี่ยวกับโครงสร้างของสาขาวิชาที่ประกอบด้วยหลักสูตร
2. ทฤษฎีที่เน้นสถานการณ์
ทฤษฎีนี้คล้ายกันมากกับสิ่งที่เราได้รับการอภิปรายเป็นทฤษฎีทาวิทยาศาสตร์
หมายถึงการคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามที่จะคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นใสถานการณ์บางอย่าง
ทฤษฎีของจอห์นสัน
นิยามหลักสูตรของจอห์นสัน เกี่ยวกับชุดเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้
พวกเขาควรตระหนักในประโยชน์ของความแตกต่างระหว่างหลักสูตรที่เกี่ยวกับแผนและหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิธีการที่แผนดังกล่าวถูกสร้างขึ้น
ทฤษฎีของแมคโดนัลด์
แมคโดนัลด์
นิยามหลักสูตรว่าเป็นระบบสังคมเป็นที่ผลิตแผนสำหรับการสอน
ซึ่งเขาระบุว่าภายในระบบสังคมจะมีการเรียนการสอนและการเรียนรู้อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นการสอนจะแตกต่างจากการเรียนการสอนและถูกกำหนดให้เป็นระบบบุคคลากรครู
ทำงานในลักษณะเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกการในเรียนรู้การเรียนรู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นระบบบุคคลมากเกินไป
นักเรียนจะกลายเป็นส่วนร่วมในพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานเฉพาะ
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
ในการศึกษารูปแบบ หรือทฤษฎีการวางแผน หรือพัฒนาหลักสูตร
จะพบว่ามีคำหลายคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน และสามารถใช้แทนกันได้ ได้แก่ Curriculum
– Planning, Curriculum Development, Curriculum Construction, Curriculum –
lmprovement, และ Curriculum Revision มีความหมายแตกต่างกันดังนี้
Curriculum – Planning หมายถึง กระบวนการในการสร้างหลักสูตร
กล่าวถึงหลักสูตรในรูปสิ่งที่ คาดหวัง หรือที่เป็นแผนอย่างหนึ่ง
Curriculum Development หมายถึง การสร้าง Curriculum Materials
รวมทั้งสื่อการเรียนที่นักเรียนใช้
ไม่ใช่การวางแผนหลักสูตรแต่จะเป็นผลที่เกิดจากการวางแผนหลักสูตร CurriculumConstruction
และ Curriculum Revision เป็นคำที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมหมายถึง
การเขียนและการปรับปรุงรายวิชาที่ศึกษาCurriculum – lmprovement หมายถึง การปรับปรุง
หรือการวางแผนหลักสูตรในส่วนที่เป็นเป้าประสงค์มากกว่าที่หมายถึง
กระบวนการในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร
ทฤษฎีเกี่ยวกับวิชาและเนื้อหาวิชาที่จะนำไปสอน
ในกรณีที่มองหลักสูตรว่า เป็นวิชาและเนื้อหาวิชาที่จะนำไปสอน
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรก็จะกล่าวถึงในการเลือกเนื้อหา
การจัดการเนื้อหาลงในระดับชั้นต่างๆ เซเลอร์ (J. Galen Saylor) กาและอเล็กซานเดอร์ (William M. Alexander) ได้สรุปสูตรทั่วไปสำหรับการพัฒนาหลักสูตรแต่ละวิชาและเนื้อหาสาระดังนี้
1.ใช้การพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญในการกำหนดหรือตัดสินว่าจะสอนวิชาอะไร
2.ใช้เกณฑ์บางอย่าง
ในการเลือกเนื้อหาสำหรับกลุ่มผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
3.วางแผนวิธีการสอนที่เหมาะสม
และใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิดความรอบรู้ในเนื้อหาที่เลือกมาเรียน
1.ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
1.มีจุดประสงค์ทางการศึกษาอะไรบ้าง ที่โรงเรียนควรแสวงหา
2.มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง
ที่สามารถจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้นั้นจะจัดระบบประสบการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไร
จึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
3.จะจัดระบบประสบการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.จะประเมินประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร
จึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
คำถามทั้ง 4
ประการนี้ ตรงกับองค์ประกอบที่สำคัญในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร 4
ด้าน ตามลำดับดังนี้ 1. การตั้งเป้าประสงค์ 2.
การเลือกเนื้อหา 3. การสอน และ4. การประเมินผล
2.ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของทาบา
ได้กล่าวถึงลำดับขั้นในการพัฒนาหลักสูตรไว้
8
ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่
1 วิเคราะห์สภาพ ปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม
รวมทั้งศึกษาพัฒนาการของผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนธรรมชาติของความรู้
เพื่อนำมาเป้นแนวทางในการกำหนดจุดประสงค์
ขั้นที่
2 กำหนดจุดประสงค์ของการศึกษา โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากขั้นที่ 1 เป็นหลักในการพิจารณา
ขั้นที่
3 คัดเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอน
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงกับความต้องการและความจำเป็นของสังคม
โดยคัดเลือกมาให้เรียนโดยเฉพาะที่ตรงกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
ขั้นที่
4
จัดระเบียบ ลำดับ และขั้นตอนของเนื้อหาวิชาที่คัดเลือกมา
ขั้นที่
5
คัดเลือกประสบการณ์การเรียน
โดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และวิธีสอนแบบต่างๆ เป็นแนวทาง
ขั้นที่
6 จัดระเบียบ ลำดับ และขั้นตอนของประสบการณ์การเรียน
ขั้นที่
7 ประเมินผล
เป็นขั้นที่จะทำให้ทราบว่าการพัฒนาหลักสูตรประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด
โดยปกติจะพิจารณาจากผลของการใช้หลักสูตร นั่นคือ
พิจารณาว่าผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่
เนื้อหาวิชาและกระบวนการเรียนการสอนมีความเหมาะสมเพียงใด
ขั้นที่
8 ตรวจสอบความคงที่ และความเหมาะสมในแต่ละขั้นตอน
โดยตรวจสอบตามแนวของคำถามที่มีลักษณะดังนี้
1.เนื้อหาวิชาที่จัดขึ้นเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์หรือไม่
2.ประสบการณ์การเรียนได้ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์หรือไม่
3.ประสบการณ์การเรียนที่จัดขึ้นมีความเหมาะสมเพียงใด
3.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเคอร์
เคอร์ (John F. Kerr)
เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร เรียกว่าเป็นOperational Model มีจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้มาจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่ง
ได้แก่
1.ระดับพัฒนาการ ความต้องการ และความสนใจของนักเรียน
2.สภาพปัญหา และความต้องการของสังคมที่นักเรียนต้องเผชิญ
3.ธรรมชาติของเนื้อหาวิชาและชนิดของการเรียนรู้
นำจุดมุ่งหมายมาคัดเลือกและจัดอันดับ
โดยนำเอารูปแบบการจำแนกประเภทจุดประสงค์ทางการศึกษาของบลูม (Benjamin
S. Bloom) และคณะ ที่แบ่งจุดประสงค์ทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธวิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
มาช่วยในการพิจารณาจำแนกจุดประสงค์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นต่อไป ได้แก่
การจัดประสบการณ์การเรียน
ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาวิชาที่จัดไว้แล้ว
และในการจัดประสบการณ์การเรียนจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่น
ความพร้อมของผู้เรียน ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
วิธีสอน เป็นต้น
ขั้นสุดท้าย ได้แก่ การประเมินผล
ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร
โดยใช้วิธีการหลายวิธี เช่น การทดสอบ การสัมภาษณ์ เป็นต้น
เคอร์ได้ใช้ลูกศรโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
ในรูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรเป็นการเน้นว่า องค์ประกอบเหล่านั้นจะมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน
4.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเลวี
เลวี (Arich Lewy) ได้กล่าวถึงขั้นตอนและงานสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเลวีแบ่งออกเป็น
3
ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมโครงร่างของหลักสูตร ขั้นเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการเรียน
และขั้นดำเนินการ
1.ขั้นเตรียมโครงร่างของหลักสูตรของเลวีแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ย่อยๆ ได้แก่การเลือกจุดมุ่งหมายเลือกเนื้อหาวิชา
เลือกกิจกรรมการเรียนการสอน
2.
ขั้นเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการสอน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อยๆ ได้แก่ การสร้างวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการสอน
จัดวัสดุอุปกรณ์ตามรายวิชา ทดลองใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นใหม่ และปรับปรุงแก้ไข
3.
ขั้นดำเนินการ แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนย่อยๆ
ได้แก่ การเตรียมจัดระบบงาน ฝึกอบรมครู ปรับปรุง แก้ไขระบบการสอน
ประสานงานกับฝ่ายวิชาการ ควบคุมคุณภาพ ปรับปรุงและนำมาใช้ใหม่
5.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของ
สสวท.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
ได้ทำการพัฒนาหลักสูตรวิทายาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาและประกาศใช้ตั้งแต่ปี
2519ในการพัฒนาหลักสูตรนอกจากจะปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ยังพัฒนาด้านแผนการเรียนการสอนและการวัดผลอีกด้วย
หลักของการพัฒนาหลักสูตร
จากรูปแบบและทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
สรุปเป็นหลักของการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
1.ใช้พื้นฐานจากประวัติศาสตร์ ปรัชญา สังคม จิตวิทยา และวิชาความรู้ต่างๆ
2.พัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม
โดยวิเคราะห์ปัญหาความต้องการและความจำเป็นต่างๆสังคม
3.พัฒนาให้สอดคล้องกับระดับพัฒนาการ ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
4.พัฒนาให้สอดคล้องกับหลักของการเรียนรู้
5.ในการเลือกและจัดประสบการณ์การเรียน
จะต้องพิจารณาความเหมาะสมในด้านความยากง่าย ลำดับก่อนหลัง และบูรณาการของประสบการณ์ต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น