วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ตรวจสอบทบทวน (Self-Test)


ตรวจสอบทบทวน (Self-Test)
1. ทฤษฎีหลักสูตรและทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
          ตอบ ทฤษฎีหลักสูตร รากฐานของหลักสูตร คือ ทฤษฎีหลักสูตร และแนวคิดด้านพฤติกรรมในการจัดทำหลักสูตรมีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาการเรียนรู้
มุมมองทางทฤษฎี
          1. ความท้าทายในการสร้างหลักสูตร คือ การมุ่งเน้นที่วิสัยทัศน์ในอนาคต ความชำนาญและการเริ่มต้นกระทำที่มั่นใจว่าความสำเร็จของวิสัยทัศน์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก
          2. หลักสูตรเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนภายในที่ส่งผลต่อพลวัตรทางสังคมและการเมือง
          3. นักพัฒนาหลักสูตรตระหนักดีว่าการสร้างทฤษฎีเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับความคิด เพราะเหตุใดจึงเกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์เหล่านั้นจึงเกิดขึ้น
โบแชมป์ กล่าวว่าทฤษฎีมีพื้นฐานมาจากความรู้ 3 สาขา: (1) มนุษยศาสตร์ (2) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ (3) สังคมศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดขอบเขตของความรู้พื้นฐาน
ทฤษฎีหลักสูตรมี 2 ประเภท คือ ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตรและทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร
          1. ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตรเป็นพื้นฐานขององค์ประกอบของหลักสูตร
          2. ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร อธิบาย ทำนาย หรือแม้กระทั่งแนะนำกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรมีความเกี่ยวข้องกับแผนเฉพาะ หลักการและ / หรือวิธีการ หรือขั้นตอน นอกจากนี้ทฤษฎีทางวิศวกรรมหลักสูตรยังมีพื้นฐานมาจากหลักการวัดและสถิติ
ความหมายของทฤษฎี
                Abraham Kaplan ได้ให้ความหมายว่า “ทฤษฎีเป็นหนทางที่ทำให้รู้สึกถึงสถานการณ์ที่รบกวน อย่างเช่น การไม่ทำตามกระแส ยิ่งกว่านั้น เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ฃหรือเลิกพฤติกรรม หรือ การกระทำเดิม ด้วยการแทนที่สิ่งใหม่ในขณะที่สถานการณ์เรียกร้อง
                ความท้าทายของนักทำหลักสูตร คือ การกำหนดเพียงลักษณะของวงการหลักสูตรที่เรากำลังประมวลผล สมมติฐานของเราคือ วงการหลักสูตรจะต้องเกี่ยวข้องกับนักทำหลักสูตร ในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบหลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตร
นักทำหลักสูตรส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะตกลงใน 2 จุดนี้
          1. นักทำหลักสูตรเห็นด้วยว่า หลักสูตรเป็นความสำคัญขั้นพื้นฐานต่อครูและนักเรียน ต่อธรรมชาติของการสอนและการเรียน
          2. การพัฒนาหลักสูตรมีอิทธิพลอย่างมากจากค่านิยมที่นำมาใช้ในกระบวนการคำว่าทฤษฎี” บางครั้งหมายถึง ชุดของข้อเสนอที่มีอิทธิพลที่ได้รับมาจากผลการวิเคราะห์ ลักษณะทั่วไปเหล่านี้หมายถึงความจริง กฎหมาย และสมมติฐานหลายประการที่เกี่ยวข้องกันในทางกฎเกณฑ์ และที่ก่อตั้งรูปแบบเอกลักษณ์ทั้งหมด ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ความจริงทั่วไป กฎหมาย หรือสมมติฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์คือ ชุดของข้อสันนิษฐานจากสิ่งที่ได้รับมาจากขั้นตอนของตรรกะทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่าของกฎหมายเชิงประจักษ์  ทฤษฎีให้คำอธิบายแก่กฎหมายเชิงประจักษ์และทำให้เนื้อหาวิชาเป็นหนึ่งเดียวกัน
สาระความรู้ที่เป็นมานุษยวิทยา
          1. ทฤษฎีดังกล่าวสร้างชุดของสมมติฐานหรือความเชื่อที่อธิบายสิ่งที่ควรจะเป็น
          2. นักปรัชญาอธิบายสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจาก มุมมองของความเป็นจริงและบทบาทในตัวของมันเอง
          3. ทฤษฎีหลายทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการศึกษาและหลักสูตรเฉพาะ ซึ่งมาจากปรัชญาและ / หรือแนวคิดทางมนุษยศาสตร์
หน้าที่ของทฤษฎี
          1. จุดมุ่งหมายของวิทยาศาสตร์คือการเข้าใจปรากฏการณ์ในการศึกษา นักปรัชญายังหาคำตอบสำหรับคำถามของพวกเขาความรู้คืออะไร ความจริงคืออะไร และอะไรคือคุณค่า 
          2. ทฤษฎีมาจากคำในภาษากรีกว่า theoria connoting แปลว่า "การตื่นตัวของจิตใจมันเป็นชนิดของ "มุมมองที่บริสุทธิ์ของความจริง ทฤษฎีอธิบายความเป็นจริง ทำให้ผู้คนตระหนักถึงโลกของพวกเขาและการมีปฏิสัมพันธ์

ผู้เขียนหลายท่านได้ลงความเห็นเกี่ยวกับทฤษฎีไว้ 4 หลัก คือ
          1. การพรรณนา
          2. การทำนาย
          3. การบรรยาย
          4. การแนะนำ
ทฤษฎีของเมเซีย
นักหลักสูตรสร้างทฤษฎีเป็นทฤษฎีหลักสูตรแบบธรรมดา แม้แต่ทฤษฎีที่เน้นคุณค่า และทฤษฎีการศึกษาวิธีการปฏิบัติทางหลักสูตร
    1. ทฤษฎีหลักสูตรแบบธรรมดา ทฤษฎีนี้เกี่ยวข้องกับคาดเดาเกี่ยวกับโครงสร้างของสาขาวิชาที่ประกอบด้วยหลักสูตร
    2. ทฤษฎีที่เน้นสถานการณ์ ทฤษฎีนี้คล้ายกันมากกับสิ่งที่เราได้รับการอภิปรายเป็นทฤษฎีทาวิทยาศาสตร์ หมายถึงการคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามที่จะคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นใสถานการณ์บางอย่าง
ทฤษฎีของจอห์นสัน
          นิยามหลักสูตรของจอห์นสัน  เกี่ยวกับชุดเป้าหมายผลลัพธ์การเรียนรู้ พวกเขาควรตระหนักในประโยชน์ของความแตกต่างระหว่างหลักสูตรที่เกี่ยวกับแผนและหลักสูตรที่เกี่ยวกับวิธีการที่แผนดังกล่าวถูกสร้างขึ้น
ทฤษฎีของแมคโดนัลด์
                แมคโดนัลด์ นิยามหลักสูตรว่าเป็นระบบสังคมเป็นที่ผลิตแผนสำหรับการสอน ซึ่งเขาระบุว่าภายในระบบสังคมจะมีการเรียนการสอนและการเรียนรู้อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นการสอนจะแตกต่างจากการเรียนการสอนและถูกกำหนดให้เป็นระบบบุคคลากรครู ทำงานในลักษณะเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกการในเรียนรู้การเรียนรู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นระบบบุคคลมากเกินไป นักเรียนจะกลายเป็นส่วนร่วมในพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานเฉพาะ
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
               ในการศึกษารูปแบบ หรือทฤษฎีการวางแผน หรือพัฒนาหลักสูตร จะพบว่ามีคำหลายคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน และสามารถใช้แทนกันได้ ได้แก่ Curriculum – Planning, Curriculum Development, Curriculum Construction, Curriculum – lmprovement, และ Curriculum Revision มีความหมายแตกต่างกันดังนี้   Curriculum – Planning หมายถึง กระบวนการในการสร้างหลักสูตร กล่าวถึงหลักสูตรในรูปสิ่งที่ คาดหวัง หรือที่เป็นแผนอย่างหนึ่ง  Curriculum Development หมายถึง การสร้าง Curriculum Materials รวมทั้งสื่อการเรียนที่นักเรียนใช้ ไม่ใช่การวางแผนหลักสูตรแต่จะเป็นผลที่เกิดจากการวางแผนหลักสูตร CurriculumConstruction และ Curriculum Revision เป็นคำที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมหมายถึง การเขียนและการปรับปรุงรายวิชาที่ศึกษาCurriculum – lmprovement หมายถึง การปรับปรุง หรือการวางแผนหลักสูตรในส่วนที่เป็นเป้าประสงค์มากกว่าที่หมายถึง กระบวนการในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร ทฤษฎีเกี่ยวกับวิชาและเนื้อหาวิชาที่จะนำไปสอน
                ในกรณีที่มองหลักสูตรว่า เป็นวิชาและเนื้อหาวิชาที่จะนำไปสอน ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรก็จะกล่าวถึงในการเลือกเนื้อหา การจัดการเนื้อหาลงในระดับชั้นต่างๆ เซเลอร์ (J. Galen Saylor)   กาและอเล็กซานเดอร์ (William M. Alexander) ได้สรุปสูตรทั่วไปสำหรับการพัฒนาหลักสูตรแต่ละวิชาและเนื้อหาสาระดังนี้
1.ใช้การพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญในการกำหนดหรือตัดสินว่าจะสอนวิชาอะไร
2.ใช้เกณฑ์บางอย่าง ในการเลือกเนื้อหาสำหรับกลุ่มผู้เรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
3.วางแผนวิธีการสอนที่เหมาะสม และใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนเกิดความรอบรู้ในเนื้อหาที่เลือกมาเรียน

1.ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
          1.มีจุดประสงค์ทางการศึกษาอะไรบ้าง ที่โรงเรียนควรแสวงหา
          2.มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้าง ที่สามารถจัดขึ้นเพื่อช่วยให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้นั้นจะจัดระบบประสบการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
          3.จะจัดระบบประสบการณ์ดังกล่าวนี้อย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
          4.จะประเมินประสิทธิภาพของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร จึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึงจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
คำถามทั้ง 4 ประการนี้ ตรงกับองค์ประกอบที่สำคัญในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร 4 ด้าน ตามลำดับดังนี้ 1. การตั้งเป้าประสงค์ 2. การเลือกเนื้อหา 3. การสอน และ4. การประเมินผล
2.ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของทาบา
ได้กล่าวถึงลำดับขั้นในการพัฒนาหลักสูตรไว้ 8 ขั้นตอน ดังนี้
          ขั้นที่ 1 วิเคราะห์สภาพ ปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่างๆ ของสังคม รวมทั้งศึกษาพัฒนาการของผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนธรรมชาติของความรู้ เพื่อนำมาเป้นแนวทางในการกำหนดจุดประสงค์
          ขั้นที่  กำหนดจุดประสงค์ของการศึกษา โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากขั้นที่ 1 เป็นหลักในการพิจารณา
          ขั้นที่ 3 คัดเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงกับความต้องการและความจำเป็นของสังคม โดยคัดเลือกมาให้เรียนโดยเฉพาะที่ตรงกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
          ขั้นที่ 4  จัดระเบียบ ลำดับ และขั้นตอนของเนื้อหาวิชาที่คัดเลือกมา
          ขั้นที่ 5  คัดเลือกประสบการณ์การเรียน โดยอาศัยความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และวิธีสอนแบบต่างๆ เป็นแนวทาง
          ขั้นที่ 6 จัดระเบียบ ลำดับ และขั้นตอนของประสบการณ์การเรียน
          ขั้นที่ 7 ประเมินผล เป็นขั้นที่จะทำให้ทราบว่าการพัฒนาหลักสูตรประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด โดยปกติจะพิจารณาจากผลของการใช้หลักสูตร นั่นคือ พิจารณาว่าผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ เนื้อหาวิชาและกระบวนการเรียนการสอนมีความเหมาะสมเพียงใด
          ขั้นที่ 8 ตรวจสอบความคงที่ และความเหมาะสมในแต่ละขั้นตอน โดยตรวจสอบตามแนวของคำถามที่มีลักษณะดังนี้
          1.เนื้อหาวิชาที่จัดขึ้นเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์หรือไม่
          2.ประสบการณ์การเรียนได้ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์หรือไม่
          3.ประสบการณ์การเรียนที่จัดขึ้นมีความเหมาะสมเพียงใด
3.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเคอร์
เคอร์ (John F. Kerr) เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร เรียกว่าเป็นOperational Model มีจุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้มาจากแหล่งข้อมูล 3 แหล่ง ได้แก่
          1.ระดับพัฒนาการ ความต้องการ และความสนใจของนักเรียน
          2.สภาพปัญหา และความต้องการของสังคมที่นักเรียนต้องเผชิญ
          3.ธรรมชาติของเนื้อหาวิชาและชนิดของการเรียนรู้
          นำจุดมุ่งหมายมาคัดเลือกและจัดอันดับ โดยนำเอารูปแบบการจำแนกประเภทจุดประสงค์ทางการศึกษาของบลูม (Benjamin S. Bloom) และคณะ ที่แบ่งจุดประสงค์ทางการศึกษาออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธวิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย มาช่วยในการพิจารณาจำแนกจุดประสงค์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นต่อไป ได้แก่ การจัดประสบการณ์การเรียน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาวิชาที่จัดไว้แล้ว และในการจัดประสบการณ์การเรียนจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่น ความพร้อมของผู้เรียน ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน วิธีสอน เป็นต้น
ขั้นสุดท้าย ได้แก่ การประเมินผล ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตร โดยใช้วิธีการหลายวิธี เช่น การทดสอบ การสัมภาษณ์ เป็นต้น    เคอร์ได้ใช้ลูกศรโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในรูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรเป็นการเน้นว่า องค์ประกอบเหล่านั้นจะมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน

4.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเลวี
เลวี (Arich Lewy) ได้กล่าวถึงขั้นตอนและงานสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของเลวีแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมโครงร่างของหลักสูตร ขั้นเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการเรียน และขั้นดำเนินการ
          1.ขั้นเตรียมโครงร่างของหลักสูตรของเลวีแบ่งออกเป็น ขั้นตอน ย่อยๆ ได้แก่การเลือกจุดมุ่งหมายเลือกเนื้อหาวิชา เลือกกิจกรรมการเรียนการสอน
          2. ขั้นเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการสอน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อยๆ ได้แก่ การสร้างวัสดุ อุปกรณ์ประกอบการสอน จัดวัสดุอุปกรณ์ตามรายวิชา ทดลองใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นใหม่ และปรับปรุงแก้ไข
          3. ขั้นดำเนินการ แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนย่อยๆ ได้แก่ การเตรียมจัดระบบงาน ฝึกอบรมครู ปรับปรุง แก้ไขระบบการสอน ประสานงานกับฝ่ายวิชาการ ควบคุมคุณภาพ ปรับปรุงและนำมาใช้ใหม่
5.รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของ สสวท.สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
ได้ทำการพัฒนาหลักสูตรวิทายาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาและประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2519ในการพัฒนาหลักสูตรนอกจากจะปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ยังพัฒนาด้านแผนการเรียนการสอนและการวัดผลอีกด้วย
หลักของการพัฒนาหลักสูตร
จากรูปแบบและทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร สรุปเป็นหลักของการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
          1.ใช้พื้นฐานจากประวัติศาสตร์ ปรัชญา สังคม จิตวิทยา และวิชาความรู้ต่างๆ
          2.พัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม โดยวิเคราะห์ปัญหาความต้องการและความจำเป็นต่างๆสังคม
          3.พัฒนาให้สอดคล้องกับระดับพัฒนาการ ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน
          4.พัฒนาให้สอดคล้องกับหลักของการเรียนรู้
          5.ในการเลือกและจัดประสบการณ์การเรียน จะต้องพิจารณาความเหมาะสมในด้านความยากง่าย ลำดับก่อนหลัง และบูรณาการของประสบการณ์ต่างๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น